-f — различия между версиями

Материал из ТОГБУ Компьютерный Центр
Перейти к: навигация, поиск
м (-f)
м (-f)
Строка 1: Строка 1:
<p>數學補習是提升成績,開啟無限可能的重要步驟。隨著學習風格多元化,學生們需要找到最適合自己的方式來學習數學。其中一個重要的主題是等比數列公式,這是數學補習課程中常見的一個內容。在大學入學考試,如英國會考(DSE)和高中畢業文憑試(DSE)中,這些公式是必須掌握的重要元素。同時,補習也不只專注於數學,這還包括其他科目和技巧,例如寫作和口說技巧,例如抒情和修辭手法表,以及文言文技巧。四技股份公司有一個關於DSE的提案,以及M2數學補習課程,為學生提供了一個全方位的學習經驗。透過數學補習,學生們可以在考試中取得優異的成績,同時開啟無限的可能性和未來的機會。</p><br /><br /><h3 id="學習風格與提升成績">學習風格與提升成績</h3><br /><br /><p>學習風格在提升數學成績方面起著重要作用。每個人的學習風格都有所不同,有些人偏好視覺學習,有些人則對聽覺學習更為敏感。了解自己的學習風格是提高數學成績的關鍵之一。</p><br /><br /><p>許多學生喜歡用圖表和圖像來理解數學概念,這屬於視覺學習風格。如果你是這樣的學生,嘗試使用彩色筆記和圖表來記錄重要的數學公式和等比數列公式。這樣一來,你可以更直觀地理解數學問題,從而提高自己的學習效果。</p><br /><br /><p>相對於視覺學習,有些學生更適合通過聽覺學習來提升數學成績。這些學生可能更喜歡聽教師的講解或參加數學討論小組。如果你是這樣的學生,試著錄製你自己的講解或總結,然後多次聆聽,以加深對數學知識的理解。</p><br /><br /><p>此外,了解自己的學習風格還可以幫助你選擇合適的教材和學習方法。例如,對於 [https://gohineducation.com/2023-dse%E8%80%83%E8%A9%A6%E6%99%82%E9%96%93%E8%A1%A8%E4%B8%A8%E6%9C%80%E6%96%B0%E4%BF%AE%E8%A8%82%E6%99%82%E9%96%93%E8%A1%A8%E3%80%81%E7%94%B2%E3%80%81%E4%B9%99%E9%A1%9E%E7%A7%91%E7%9B%AE%E3%80%81-2/ 修辭手法表] 和文言文技巧這類需要閱讀並理解的數學考題,如果你在接受新知識時更偏好閱讀教材,那麼以閱讀為主的學習方法可能更適合你。</p><br /><br /><p>總之,學習風格在提升數學成績方面是一個關鍵因素。通過了解自己的學習風格,你可以選擇適合的學習方法,並更有效地理解和應用數學知識,從而提升你的成績。</p><br /><br /><h3 id="有效學習數學補習的關鍵要素">有效學習數學補習的關鍵要素</h3><br /><br /><p>數學補習對於提升成績和開啟無限可能確實起著重要作用。要有效學習數學補習,有幾個關鍵要素需要注意:</p><br /><br /><p>第一個要素是了解自己的學習風格。每個人對於學習的方式有所偏好,有些人偏向於聽覺學習,有些人則更擅長視覺學習。了解自己的學習風格可以讓你更有針對性地選擇數學補習的方法和資源,以及適合自己的學習工具。</p><br /><br /><p>第二個要素是熟悉基本的數學概念和公式。在數學學習中,掌握基礎知識是非常重要的,這包括等比數列公式和M2數學的各種概念等。通過熟悉這些基本概念和公式,你可以更好地應用它們解決問題,並在補習中更上一層樓。</p><br /><br /><p>第三個要素是備考DSE。如果你是為了DSE而進行數學補習,那就要特別關注DSE的相關資訊和要求。熟悉英文DSE和Proposal DSE的內容,了解相應的考試內容和形式,將有助於你有針對性地進行補習。此外,補習中也可以專注於提升修辭手法表、文言文技巧和DSE口語表達的能力,在考試中有所突出。</p><br /><br /><p>以上就是有效學習數學補習的關鍵要素,包括了了解自己的學習風格、熟悉基本概念和公式,以及重視考試要求。透過對這些要素的重視,你將能夠更好地進行數學補習,提高成績,並開啟無限可能。</p><br /><br /><h3 id="實踐無限可能dse考試技巧">實踐無限可能:DSE考試技巧</h3><br /><br /><p>數學補習不僅可以提升你的成績,也能夠為你的未來開啟無限可能。在準備DSE考試時,掌握一些重要的考試技巧是非常關鍵的。以下將分享三個實踐無限可能的DSE考試技巧。</p><br /><br /><p>首先,了解自己的學習風格對於提高數學成績至關重要。每個人的學習風格不同,有些人更喜歡聽覺學習,有些人則更喜歡視覺學習。通過了解自己的學習風格,你可以選擇最適合自己的學習方法。比如,如果你是一個視覺學習者,可以通過閱讀教科書、複習筆記或者使用圖表來加深對數學概念的理解。而如果你是一個聽覺學習者,可以參加數學補習班或者找一位導師進行一對一的解說,這樣你會更容易理解數學知識。</p><br /><br /><br /><br /><br /><br /><p>其次,熟悉重要的數學考試公式是提高成績的關鍵。等比數列公式是DSE考試中經常出現的一個重點,熟練掌握這個公式可以幫助你在考試中更快地解題。在數學補習中,你可以通過多做一些類似的練習題目,加深對這個公式的理解和應用。同時,也要注意英文DSE和Proposal DSE的考試要求,熟悉這些考試題型和要求,有助於你更好地準備這些考試科目。</p><br /><br /><p>最後,掌握一些修辭手法和文言文技巧可以幫助你在DSE口試和M2數學考試中表現更出色。抒情和修辭手法是文言文中經常使用的一些技巧,通過學習和應用這些技巧,你可以讓你的答案更具表現力和說服力。同樣地,DSE口試中的口語表達技巧也非常重要,有條理且清晰地組織你的思維,使用正確的語法和詞匯,能夠讓你在口試中得到更高的評價。</p><br /><br /><p>通過這三個DSE考試技巧的實踐,你將能夠更好地準備數學補習和提升你的成績。在DSE考試中,掌握這些技巧將為你的未來打開無限可能。加油吧!</p><br /><br />
+
<p>การทำไวน์อาจดูเหมือนยาก แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างง่ายเลย ยีสต์ (ที่เติมซัลไฟต์) พร้อมด้วยน้ำตาลเป็นส่วนผสมพื้นฐานที่สุด ซัลไฟต์ป้องกันไม่ให้ไวน์บูดในระหว่างการหมัก หากจัดเก็บอย่างเหมาะสมในที่เย็นและมืดโดยเติมซัลไฟต์เพิ่มเติมก่อนบรรจุขวด ไวน์ก็จะยังคงอยู่บนชั้นวางเช่นกัน</p><br /><br /><h2>1. องุ่น</h2><br /><br /><p>เมื่อทำไวน์ อันดับแรกให้เลือกองุ่นคุณภาพสูง องุ่นควรจะเนื้อแน่น สุก และมีรสหวาน สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตจำนวนคลัสเตอร์ต่อเถาองุ่นแต่ละต้น ซึ่งจะช่วยประมาณปริมาณไวน์ที่เถาวัลย์ของคุณน่าจะผลิตได้ (โปรดจำไว้ว่าไวน์หนึ่งขวดจะต้องมี 10 คลัสเตอร์/ขวด นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องการ 40 คลัสเตอร์เพื่อทำไวน์แต่ละอัน)</p><br /><br /><p>เมื่อคุณเลือกองุ่นได้แล้ว ให้เอาก้านออกแล้วบดองุ่นเพื่อให้น้ำออกมา การแยกส่วนเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตไวน์ที่หรูหราและนุ่มนวล หลังจากนั้นให้เติมลงในถังขนาดใหญ่ที่ฆ่าเชื้อแล้ว จากนั้นละลายยีสต์ในน้ำอุ่นเล็กน้อยเพื่อให้ยีสต์ชุ่มชื้นก่อนเติมลงในน้ำองุ่น ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาลแม้ว่าจะเติมบ่อยๆ เพื่อช่วยให้ไวน์หมักเร็วขึ้นและมีระดับแอลกอฮอล์สูงขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการลดรสชาติเปรี้ยวที่เป็นกรดของไวน์บางชนิดด้วย</p><br /><br /><h2>2. น้ำตาล</h2><br /><br /><p>กระบวนการเปลี่ยนองุ่นให้เป็นไวน์ ไม่ว่าคุณจะใช้อุปกรณ์สำหรับทำไวน์หรือเตรียมตั้งแต่เริ่มต้นก็ค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม หากคุณเริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรก ก็มีขั้นตอนเฉพาะที่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่ไวน์จะเริ่มหมัก</p><br /><br /><p>ควรทำความสะอาดและก้านองุ่นก่อน หลังจากที่ไวน์พร้อมและพร้อมดื่มแล้ว พวกเขาจะต้องเทลงในกระทะขนาดใหญ่และผสมกับน้ำตาล หลังจากที่น้ำตาลละลายแล้ว ส่วนผสมจะต้องได้รับความร้อนจนกว่าจะมีอุณหภูมิ 300°F</p><br /><br /><p>ต้องวางเทอร์โมมิเตอร์ไว้ในกระทะเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ นอกจากนี้คุณยังสามารถทดสอบน้ำผลไม้ด้วยไฮโดรมิเตอร์หรือเครื่องวัดความเข้มข้น (degBrix) ได้อีกด้วย สิ่งสำคัญคือต้องลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมเมื่อกำหนดจำนวนได้แล้ว</p><br /><br /><h2>3. มันเป็นยีสต์</h2><br /><br /><p>ยีสต์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตไวน์ มีหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลของน้ำองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์ ยีสต์ยังผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งช่วยให้ของเหลวในการหมักเกิดฟอง</p><br /><br /><p>ชุดส่วนผสมไวน์ส่วนใหญ่และตำราอาหารจะแนะนำให้คุณโรยยีสต์ลงบนน้ำผลไม้โดยตรง อย่างไรก็ตาม แนะนำให้แช่ยีสต์ลงในน้ำอุ่นก่อนที่จะเติมลงไป การคืนสภาพเป็นกระบวนการคืนยีสต์ที่อยู่เฉยๆ และแห้งให้กลับสู่สภาวะธรรมชาติ</p><br /><br /><p>กากรวมเป็นสารเนื้อครีมที่มีความหนาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยีสต์ตาย จากนั้นจะจมลงสู่ส่วนล่างของ กรอสลีส์ช่วยให้ไวน์ดูเต็มปากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ในไวน์ขาวที่บ่มในถังด้วยกระบวนการที่เรียกว่าบาโทนาจ อย่างไรก็ตาม ไวน์ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องบ่มด้วยกากตะกอนขั้นต้น</p><br /><br /><h2>4. การหมัก</h2><br /><br /><p>ขั้นตอนการทำไวน์อาจง่ายหรือซับซ้อน ขึ้นอยู่กับประเภทของผลไม้ที่คุณเลือกใช้ เหตุผลก็คือมีความแตกต่างและความแปรผันเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ซึ่งล้วนสร้างความแตกต่างในด้านคุณภาพหรือความอับอายของไวน์ชนิดใดชนิดหนึ่ง</p><br /><br /><p>ในการทำไวน์หมัก สิ่งแรกที่ต้องทำคือการบดองุ่น น้ำที่มาจากกระบวนการ (เรียกว่า "ต้อง") จะถูกเอาออก คุณสามารถใช้มือของคุณหรือใช้เครื่องมือกระทืบคุณสามารถบดองุ่นได้</p><br /><br /><p>จากนั้น คุณเติมน้ำตาลลงไป จากนั้นจึงเติมน้ำตาลลงไป เนื่องจากน้ำตาลในผลไม้ไม่เข้มข้นพอที่จะทำให้เกิดการหมัก จึงมักใช้สารให้ความหวานแบบเม็ด สารอาหารยีสต์สามารถรวมไว้เพื่อช่วยในการส่งเสริมยีสต์</p><br /><br /><p>หลังจากน้ำตาลละลายก็ถึงเวลาหมัก หลังจากกระบวนการหมักเสร็จสิ้นก็จะถูกถ่ายโอนไปยังคาร์บอย ต้องเก็บในอุณหภูมิที่เย็นและมืดเป็นเวลา 3 ถึง 6 เดือน ในแต่ละวัน วันละสองครั้ง ต้อง "ชก" ด้วยไม้พายหรือช้อนที่สะอาดเพื่อขจัดตะกอนที่เกาะอยู่ด้านบนของขวด จุดประสงค์คือเพื่อให้แน่ใจว่าการหมักจะไม่ติดขัดตลอดจนสร้างไวน์สำเร็จรูปที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น</p><br /><br /><h2>5. การกรอง</h2><br /><br /><p>กระบวนการกรองเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมไวน์ของคุณก่อนบรรจุขวด การกรองจะกำจัดยีสต์และอนุภาคที่ตกค้างทั้งหมด รวมถึงกลิ่นหรือรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ วิธีนี้ยังช่วยทำให้ไวน์ของคุณมีความกระจ่างขึ้นเพื่อให้มีความแข็งมากขึ้นและมีโอกาสเกิดการหมักซ้ำภายในขวดน้อยลง</p><br /><br /><p>ไม่จำเป็นต้องกรองในไวน์ใดๆ ไวน์ผลไม้ เช่น ไวน์ที่ทำจากน้ำองุ่นแอปเปิ้ล มะม่วง หรือพีช มักจะได้รับการยกเว้นจากการกรอง ไวน์ได้รับการออกแบบมาให้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมไวน์จึงไม่จำเป็นต้องบ่มเป็นเวลานาน กระบวนการกรองสามารถเริ่มได้ทันทีหลังจากการหมักเสร็จสิ้นหรือก่อนบรรจุขวด</p><br /><br /><p>ผู้ผลิตไวน์ตามบ้านสามารถกรองไวน์ที่ผลิตได้โดยใช้ตัวกรองกระดาษธรรมดา ตัวกรองที่ใช้บ่อยที่สุดจะหยุดต่ำกว่า 0.2u (หรือสองในสิบ) ของไมครอน หมายความว่าสารประกอบสีของไวน์และสารประกอบฟีนอลิกส่วนใหญ่ต้องผ่านตัวกรอง</p><br /><br /><h2>6. การบรรจุขวด</h2><br /><br /><p>หากไวน์ของคุณอยู่ในจุดที่ต้องบรรจุขวด ถึงเวลาที่ต้องบรรจุขวดแล้ว ก่อนที่จะใส่ลงในขวด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไวน์มีการป้องกันจากออกซิเจน วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ถังหมักที่มีระบบล็อกอากาศ โถบดใสก็สามารถใช้ได้หากคุณปิดผนึกอย่างดี ก๊าซเฉื่อยเช่นไนโตรเจนหรืออาร์กอนสามารถนำมาใช้หุ้มไวน์ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น</p><br /><br /><p>ยาเม็ดที่มีเพคติกเอนไซม์ซึ่งพบได้ในร้านค้าหลายแห่งที่ขายเบียร์ทำเองจะช่วยเร่งกระบวนการบรรจุขวดของคุณ อย่างไรก็ตาม มันไม่จำเป็น หลังจากนั้นให้สูบไวน์ลงในขวดใหม่ อย่าลืมล้างอุปกรณ์และขวดระหว่างเติม</p><br /><br /><p>ในจุดนี้ คุณจะต้องชิมไวน์แม้ว่าจะหยาบและไม่สุกก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะสมดุล คุณสามารถเพิ่มน้ำตาลหรือกรดในขั้นตอนนี้ได้หากต้องการ</p><br /><br />

Версия 15:58, 28 января 2024

การทำไวน์อาจดูเหมือนยาก แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างง่ายเลย ยีสต์ (ที่เติมซัลไฟต์) พร้อมด้วยน้ำตาลเป็นส่วนผสมพื้นฐานที่สุด ซัลไฟต์ป้องกันไม่ให้ไวน์บูดในระหว่างการหมัก หากจัดเก็บอย่างเหมาะสมในที่เย็นและมืดโดยเติมซัลไฟต์เพิ่มเติมก่อนบรรจุขวด ไวน์ก็จะยังคงอยู่บนชั้นวางเช่นกัน



1. องุ่น



เมื่อทำไวน์ อันดับแรกให้เลือกองุ่นคุณภาพสูง องุ่นควรจะเนื้อแน่น สุก และมีรสหวาน สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตจำนวนคลัสเตอร์ต่อเถาองุ่นแต่ละต้น ซึ่งจะช่วยประมาณปริมาณไวน์ที่เถาวัลย์ของคุณน่าจะผลิตได้ (โปรดจำไว้ว่าไวน์หนึ่งขวดจะต้องมี 10 คลัสเตอร์/ขวด นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องการ 40 คลัสเตอร์เพื่อทำไวน์แต่ละอัน)



เมื่อคุณเลือกองุ่นได้แล้ว ให้เอาก้านออกแล้วบดองุ่นเพื่อให้น้ำออกมา การแยกส่วนเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตไวน์ที่หรูหราและนุ่มนวล หลังจากนั้นให้เติมลงในถังขนาดใหญ่ที่ฆ่าเชื้อแล้ว จากนั้นละลายยีสต์ในน้ำอุ่นเล็กน้อยเพื่อให้ยีสต์ชุ่มชื้นก่อนเติมลงในน้ำองุ่น ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาลแม้ว่าจะเติมบ่อยๆ เพื่อช่วยให้ไวน์หมักเร็วขึ้นและมีระดับแอลกอฮอล์สูงขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการลดรสชาติเปรี้ยวที่เป็นกรดของไวน์บางชนิดด้วย



2. น้ำตาล



กระบวนการเปลี่ยนองุ่นให้เป็นไวน์ ไม่ว่าคุณจะใช้อุปกรณ์สำหรับทำไวน์หรือเตรียมตั้งแต่เริ่มต้นก็ค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม หากคุณเริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรก ก็มีขั้นตอนเฉพาะที่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่ไวน์จะเริ่มหมัก



ควรทำความสะอาดและก้านองุ่นก่อน หลังจากที่ไวน์พร้อมและพร้อมดื่มแล้ว พวกเขาจะต้องเทลงในกระทะขนาดใหญ่และผสมกับน้ำตาล หลังจากที่น้ำตาลละลายแล้ว ส่วนผสมจะต้องได้รับความร้อนจนกว่าจะมีอุณหภูมิ 300°F



ต้องวางเทอร์โมมิเตอร์ไว้ในกระทะเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ นอกจากนี้คุณยังสามารถทดสอบน้ำผลไม้ด้วยไฮโดรมิเตอร์หรือเครื่องวัดความเข้มข้น (degBrix) ได้อีกด้วย สิ่งสำคัญคือต้องลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมเมื่อกำหนดจำนวนได้แล้ว



3. มันเป็นยีสต์



ยีสต์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตไวน์ มีหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลของน้ำองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์ ยีสต์ยังผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งช่วยให้ของเหลวในการหมักเกิดฟอง



ชุดส่วนผสมไวน์ส่วนใหญ่และตำราอาหารจะแนะนำให้คุณโรยยีสต์ลงบนน้ำผลไม้โดยตรง อย่างไรก็ตาม แนะนำให้แช่ยีสต์ลงในน้ำอุ่นก่อนที่จะเติมลงไป การคืนสภาพเป็นกระบวนการคืนยีสต์ที่อยู่เฉยๆ และแห้งให้กลับสู่สภาวะธรรมชาติ



กากรวมเป็นสารเนื้อครีมที่มีความหนาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยีสต์ตาย จากนั้นจะจมลงสู่ส่วนล่างของ กรอสลีส์ช่วยให้ไวน์ดูเต็มปากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ในไวน์ขาวที่บ่มในถังด้วยกระบวนการที่เรียกว่าบาโทนาจ อย่างไรก็ตาม ไวน์ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องบ่มด้วยกากตะกอนขั้นต้น



4. การหมัก



ขั้นตอนการทำไวน์อาจง่ายหรือซับซ้อน ขึ้นอยู่กับประเภทของผลไม้ที่คุณเลือกใช้ เหตุผลก็คือมีความแตกต่างและความแปรผันเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ซึ่งล้วนสร้างความแตกต่างในด้านคุณภาพหรือความอับอายของไวน์ชนิดใดชนิดหนึ่ง



ในการทำไวน์หมัก สิ่งแรกที่ต้องทำคือการบดองุ่น น้ำที่มาจากกระบวนการ (เรียกว่า "ต้อง") จะถูกเอาออก คุณสามารถใช้มือของคุณหรือใช้เครื่องมือกระทืบคุณสามารถบดองุ่นได้



จากนั้น คุณเติมน้ำตาลลงไป จากนั้นจึงเติมน้ำตาลลงไป เนื่องจากน้ำตาลในผลไม้ไม่เข้มข้นพอที่จะทำให้เกิดการหมัก จึงมักใช้สารให้ความหวานแบบเม็ด สารอาหารยีสต์สามารถรวมไว้เพื่อช่วยในการส่งเสริมยีสต์



หลังจากน้ำตาลละลายก็ถึงเวลาหมัก หลังจากกระบวนการหมักเสร็จสิ้นก็จะถูกถ่ายโอนไปยังคาร์บอย ต้องเก็บในอุณหภูมิที่เย็นและมืดเป็นเวลา 3 ถึง 6 เดือน ในแต่ละวัน วันละสองครั้ง ต้อง "ชก" ด้วยไม้พายหรือช้อนที่สะอาดเพื่อขจัดตะกอนที่เกาะอยู่ด้านบนของขวด จุดประสงค์คือเพื่อให้แน่ใจว่าการหมักจะไม่ติดขัดตลอดจนสร้างไวน์สำเร็จรูปที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น



5. การกรอง



กระบวนการกรองเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมไวน์ของคุณก่อนบรรจุขวด การกรองจะกำจัดยีสต์และอนุภาคที่ตกค้างทั้งหมด รวมถึงกลิ่นหรือรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ วิธีนี้ยังช่วยทำให้ไวน์ของคุณมีความกระจ่างขึ้นเพื่อให้มีความแข็งมากขึ้นและมีโอกาสเกิดการหมักซ้ำภายในขวดน้อยลง



ไม่จำเป็นต้องกรองในไวน์ใดๆ ไวน์ผลไม้ เช่น ไวน์ที่ทำจากน้ำองุ่นแอปเปิ้ล มะม่วง หรือพีช มักจะได้รับการยกเว้นจากการกรอง ไวน์ได้รับการออกแบบมาให้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมไวน์จึงไม่จำเป็นต้องบ่มเป็นเวลานาน กระบวนการกรองสามารถเริ่มได้ทันทีหลังจากการหมักเสร็จสิ้นหรือก่อนบรรจุขวด



ผู้ผลิตไวน์ตามบ้านสามารถกรองไวน์ที่ผลิตได้โดยใช้ตัวกรองกระดาษธรรมดา ตัวกรองที่ใช้บ่อยที่สุดจะหยุดต่ำกว่า 0.2u (หรือสองในสิบ) ของไมครอน หมายความว่าสารประกอบสีของไวน์และสารประกอบฟีนอลิกส่วนใหญ่ต้องผ่านตัวกรอง



6. การบรรจุขวด



หากไวน์ของคุณอยู่ในจุดที่ต้องบรรจุขวด ถึงเวลาที่ต้องบรรจุขวดแล้ว ก่อนที่จะใส่ลงในขวด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไวน์มีการป้องกันจากออกซิเจน วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ถังหมักที่มีระบบล็อกอากาศ โถบดใสก็สามารถใช้ได้หากคุณปิดผนึกอย่างดี ก๊าซเฉื่อยเช่นไนโตรเจนหรืออาร์กอนสามารถนำมาใช้หุ้มไวน์ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น



ยาเม็ดที่มีเพคติกเอนไซม์ซึ่งพบได้ในร้านค้าหลายแห่งที่ขายเบียร์ทำเองจะช่วยเร่งกระบวนการบรรจุขวดของคุณ อย่างไรก็ตาม มันไม่จำเป็น หลังจากนั้นให้สูบไวน์ลงในขวดใหม่ อย่าลืมล้างอุปกรณ์และขวดระหว่างเติม



ในจุดนี้ คุณจะต้องชิมไวน์แม้ว่าจะหยาบและไม่สุกก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะสมดุล คุณสามารถเพิ่มน้ำตาลหรือกรดในขั้นตอนนี้ได้หากต้องการ